รายการบล็อกของฉัน

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Assignment #4 Professional Practice 53

"สถาปนิก Idol รุ่นพี่ลาดกระบัง"




คุณทรงพล ยมนาค
ประวัติส่วนตัว
เข้ารับการศึกษา ในปี  2515  ทำงานอยู่กองควบคุมอาคาร  กทม.  11 ปี  แล้วออกไปก่อตั้ง ออฟฟิตออกแบบ  10 ปี  ไปอยู่บริษัทก่อสร้าง  8 ปี   ทำงานทางด้าน ประมาณการการก่อสร้าง  การตลาด  วิชาการของบริษัทก่อสร้าง   ทำหน้าที่ เคลียร์แบบ  สุดท้าย มาร่วมงานกับ maker home  1  ปีแล้ว  ลักษณะงานการปฏิบัติวิชาชีพ  เป็นที่ปรึกษา  การก่อสร้าง  การจัดการบริหารโครงการ



 งาน หรือ ผลงานเป็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติวิชาชีพ
-                    พญาไท เพลส   เป็นโครงการที่นำเสนอ  การพักอาศัยที่เป็น  ยูนิตเล็ก 

-                    ร้านอาหาร   น้ำเคียงดิน  ถนนอักษะ        
  
-                    เขียนโครงการ  จาก  BIM
อุปสรรคในการปฏิบัติวิชาชีพ
การแข่งขันกันทางด้านค่าบริการวิชาชีพ ที่ยังมีการ ตัดราคากันอยู่  และการให้ผลตอบแทนคุณค่าทางความคิด  ที่คนที่อยากได้ผลงาน ไม่อยากจะให้กัน  เพราะว่า คนทั่วไปซื้อได้ง่าย  เหมือนการซื้อ เทปผี ซีดี เถื่อน
มาตรฐานการเขียนแบบที่ไม่ได้ใช้กัน 
ข้อคิดที่สำคัญในการ ทำงาน การปฏิบัติตนต่อการทำงาน
                รู้จริง ใฝ่ศึกษา  เรียนรู้ตลอดชีวิต  ต้องพยายามรอบรู้
                รู้ว่าหัวใจในการดีไซน์ในแต่ละแบบ
 คิดเห็นอย่างไรกับ จรรยาบรรณวิชาชีพ คิดเห็นอย่างไรกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม 
บ้านเรายังไม่ได้วิเคราะห์กันอย่างชัดเจน  การอยู่สบาย  มีผลอะไรกับสังคม  ยังต้องใช้เวลาอีกมาก
สถาปนิกฟันราคากัน  จรรยาบรรณวิชาชีพอยู่ตรงไหน  คนจ้างมีจำนวนจำกัด  ตัดราคากัน ลดค่าแบบกัน  ก็จะเหลือแต่บริษัทใหญ่ๆที่จะอยู่ได้  

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กฎกระทรวง กำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคาร สำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. ๒๕๔๘ หน้า ๑๑ เล่ม ๑๒๒ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ฉบับภาษาอังกฤษ

Ministerial.
The facilities in the building.
For the disabled or handicapped and the elderly.
Act 2548.
Page 11.
Part 122, a Government Gazette, 52 July 2, 2548

     Building entrance walkway between the buildings. And the corridor between the buildings.
Article 15 of building law in accordance with Article 3 shall arrange for the entrance building to the disabled or handicapped and
Elder accessed with the following this conditions.
(1) have to be the same surface not slippery. There are no obstacles or the edge of the building cantilevered. Impede or cause harm to the disabled or handicapped and the elderly.
(2) on the same level with the ground floor outside the building or parking lot. In case of the level is different, must be able to ramp up and down the ramp with ease and this is close to parking
Article 16 In case of a building in accordance with Article 3. Many buildings within the same area, have to share a fence around whether or not to provide a pathway between buildings and to the public parking lot or parking building.
Tract under paragraph one shall have the following characteristics.
(A) concrete pavement to smooth non-slip. And a net width of not less than 1, 500 mm.
(2) If a sewer or drain rails on the floor must be sealed if the lid as a grill or a hole the, diameter of the hole does not exceed 13 mm.
Trench or a line of rail will be across the course
(3) in the area at the intersection or turn to a different surface touch.
(4) In the event of a barrier needed on the path must be arranged in the same direction without obstacles.
Pavement surface and provide a different experience or a barrier to the barrier prior to and away the obstacles.
Not less than 300 mm
(5) tag or anything else hanging over the walkway to a height of not less than the pavement.
2, 000 mm.
(6) In case the ground floor corridor with a different level to the ground with steep slopes not exceeding 1:10.
Article 17 Clause 3 of the buildings at the links between the buildings must have walls around each fall on both sides.
The handle, which looks roughly in accordance with Article 8 (7) (a) (b) (c) (d) and (e) the walls around each fall and then have
Corridor, which looks under Article 16 (1) (2) (3) (4) and (5). 

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553




ประวัติ พระราชวังเดิม

พระราชวังเดิม คือ พระราชวังหลวงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่พระองค์กู้เอกราชและทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๒๕
สถานที่ตั้ง
...............พระราชวังเดิม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปากคลองบางกอกใหญ่ ขนาบด้วยวัด ๒ ข้า คือ วัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) และวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) ด้านหลังวัดอรุณฯ ที่ตั้งเดิมของพระราชวังนี้เป็นบริเวณที่ตั้งของป้อมวิชาเยนทร์ ที่สร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระเจ้าตากสินมหาราชทรงเลือก
ที่นี่เป็นที่ตั้งของพระราชวังพร้อมทั้งรื้อป้อมวิชาเยนทร์ สร้างใหม่แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นป้อมวิชัยประสิทธิ์
อาณาเขตพระราชวังเดิม
..............อาณาเขตของพระราชวังเดิมครั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าประกอบด้วยพื้นที่ ๒ แห่ง คือ พื้นที่ภายในกำแพงที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ เรียกว่าพระราชวังเดิมชั้นใน ส่วนนอกกำแพงออกไป เรียกว่าพระราชวังชั้นนอก สันนิษฐานว่า มีอาณาเขตดังนี้
ทิศเหนือ จดคลองนครบาล ซึ่งเป็นแนวคลองเขตวัดแจ้ง
ทิศตะวันออก จดแม่น้ำเจ้าพระยา
ทิศใต้ ส่วนหนึ่งจดคลองบางกอกใหญ่ มีป้อมวิชัยประสิทธิ์ตั้งอยู่ตรงมุม อีกส่วนหนึ่งจดกับวัดท้ายตลาด หรือวัดโมลีโลกยาราม
ทิศตะวันตก จดแนวคลองหลังวัดอรุณราชวราราม
ประวัติความเป็นมา
.............เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกู้เอกราชของชาติไทยคืนจากพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว กรุงศรีอยุธยาได้ถูกพม่าเผาเสียหายเป็นอันมาก ไม่อาจซ่อมแซมบูรณะให้คืนสภาพเดิมได้ จึงทรงย้ายราชธานีใหม่ เป็นบริเวณเหนือคลองบางหลวง ธนบุรี และทรงสร้างพระราชวัง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าพระราชวัง
เดิม กรุงธนบุรี
.............ครั้นต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ ทรงย้ายราชธานีไปตั้ง ณ ฝั่งพระนคร ทรงสร้างพระราชวังใหม่ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้กั้นเขตพระราชวังเดิมให้แคบกว่าเก่าและทรงโปรดฯ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศร์บดินทร์ 
พระโอรสองค์กลางของสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่เสด็จไปประทับ ครั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศร์บดินทร์สิ้นพระชนม์ จึงทรงโปรดฯ ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้งยังดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม เมื่อพระราชทานอุปราชอภิเษกเป็นพระมหาอุปราชกรมหลวงพระราชวังบวรฯ แล้วก็ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิม
จนสิ้นรัชกาลที่ ๑
..............ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงพิทักษ์มนตรี เสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม ครั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีสิ้นพระชนม์ จึงทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวังเดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรง
พระราชอิสริยยศ เป็น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎ
...............ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ขณะที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชอยู่ตลอดรัชกาลนั้น สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีเสด็จออกไป ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมพร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังดำรงพระราชอิสริยยศเป็น เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีทรงเสด็จสวรรคตที่พระราชวังเดิมนี้
...............ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับบวรราชาภิเษกแล้วเสด็จไปประทับ ณ พระบวรราชวัง กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระราชโอรสของพระองค์ได้เสด็จประทับต่อมา จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังประทานแล้ว กรมหมื่นบวรไชยชาญได้เสด็จไป
ประทับที่วังใหม่ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิมจนสิ้นพระชนม์
...............ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ เสด็จไปประทับ ณ พระราชวังเดิม ครั้นเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาจักรพรรดิพงศ์สิ้นพระชนม์ พระราชวังเดิมจึงว่างลง พลเรือโทพระชลยุทธโยธินทร์
ผู้บัญชาการทหารเรือได้หารือกับกรมหมื่นมหิศราชหฤทัยเสนาบดีกระทรวงการคลังมหาสมบัติ จะทูลขอพระราชวังเดิมเป็นที่ตั้งโรงเรียนนายเรือเพราะที่ดินติดกับแม่น้ำ และใกล้กับที่ว่าการกรมทหารเรือ กรมหมื่นมหิศราชหฤทัย จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นชอบตามคำ
กราบบังคมทูล จึงพระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ตั้งแต่ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ และทรงขอให้รักษาซ่อมแซม ของที่ปลูกสร้างมาแต่เดิม ได้แก่ ท้องพระโรง พระตำหนักเก๋ง ศาลเจ้าตาก ศาลศรีษะปลาวาฬ กองทัพเรือได้ซ่อมแซม และดัดแปลงต่อเติมตำหนัก และเรือนพักให้เป็นกองบังคับการโรงเรียนนายเรือ อาคารเรียนและอาคารนอนของนักเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรือตั้งอยู่ที่พระราชวังเดิมตลอดมา จน พ.ศ. 
๒๔๘๕ มีจำนวนนักเรียนนายเรือมากขึ้น อาคารโรงเรียนนายเรือในบริเวณพระราชวังเดิมไม่พอกับจำนวนนักเรียน กองทัพเรือจึงได้สร้างโรงเรียนนายเรือขึ้นใหม่ที่เกล็ดแก้ว สัตหีบ และได้ย้ายไปอยู่ที่สัตหีบ ต่อมามีหน่วยราชการของกองทัพเรือได้เข้ามาใช้อาคารภายในบริเวณพระราชวังเดิม เช่น กรมเสนาธิการทหารเรือ 
กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ต่อมากรมเสนาธิการทหารเรือถูกยุบในปี ๒๔๙๘ และปัจจุบันกรมสื่อสารทหารเรือได้ใช้อาคารของกรมเสนาธิการทหารเรือเดิมเป็นที่ทำงาน
ภายในกองพระราชวังเดิมมีโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่ได้รับการบูรณะรักษาไว้ ดังนี้ คือ
๑. กำแพงพระราชวังเดิม
๒. ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓. พระตำหนักเก๋งคู่
๔. ท้องพระโรง
๕. ระฆังจีน
๖. พระตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ
๗. เขาดิน
๘. ป้อมวิชัยประสิทธิ์
๙. ป้อมหมอบรัดเลย์
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
..............ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือศาลเจ้าตากนี้ สันนิษฐานว่าคงมีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่คงเป็นเพียงศาลพระภูมิประจำพระราชวังเท่านั้น ต่อมาสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิมนี้ คงจะได้ก่อ
สร้างซ่อมแซมสิ่งต่าง ๆ ขึ้นในบริเวณพระราชวังเดิม ซึ่งคงจะมีศาลเจ้าตากอยู่ด้วย เพราะพระองค์เสด็จประทับที่พระราชวังเดิมเป็นเวลานานถึง ๒๗ ปี และในระหว่างที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ ประทับ ณ พระราชวังเดิมนั้น ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ชำรุดปรักหักพังลง จึงทรงสร้างขึ้นใหม่
แทน
พระตำหนักเก๋งคู่
.............เก๋งจีน ๒ หลังคู่ อยู่ริมประตูพระราชวังด้านตะวันออกนั้น หลังในเป็นที่บรรทมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พื้นชั้นล่างก่ออิฐโบกปูน ชั้นบนเป็นไม้สูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง มีร่องเจาะไว้สำหรับลงพระบังคน ส่วนกรอบล่างของหน้าต่างเก๋งจีนทั้ง ๒ หลังได้มีสลักลวดลายสวยงาม เรียกว่า "หย่อง" ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระตำหนักเก๋งคู่เป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์มาก่อน
ท้องพระโรง
............เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสร้างพระราชวังขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พระราชวังประกอบด้วย ท้องพระโรง พระตำหนักเก๋งคู่ พระตำหนักพระเจ้าตากสินมหาราช และทรงใช้ท้องพระโรงเป็นสถานที่ทรงประกอบการกิจทั้งปวง เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ยังทรงสร้างพระราชวังใหม่ทางฝั่งพระนครไม่เสร็จ ทรง
ประทับที่พระราชวังเดิมนี้ประมาณ ๒ เดือนเศษ ก็ทรงเสด็จออกว่าราชการ ณ ท้องพระโรงนั้นในสมัยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิม ทรงใช้ท้องพระโรงเป็นสถานที่ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ กรมสมเด็จพระสุริเยนทรามาตย์ เป็นต้น
ระฆังจีน
.............ระฆังจีนเป็นโบราณวัตถุที่สำคัญของพระราชวังเดิม ตั้งอยู่ ณ ท้องพระโรงชั้นนอก มีความสูง จากปากระฆังถึงก้นระฆัง ๒๔ นิ้ว วงปากระฆังวัดโดยรอบ ๘๒ นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางที่ปากระฆัง ๒๖ นิ้ว หูแขวนระฆังทำเป็นมังกรคาบแก้วแบบจีนมี ๒ หัว ตัวติดกัน ขามังกร ๔ ขา จับต่อระฆัง ๔ มุมพอดี ที่กลางมังกรมีห่วงใส่
สำหรับแขวนระฆัง ระฆังใบนี้ พระรัตนมุนี เจ้าอาวาสวัดหงษาราม (วัดหงส์รัตนาราม) ถวายพลเรือเอกสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครราชสีมา ผู้สำเร็จราชการกระทรวงทหารเรือ พร้อมกับแท่นพระเจ้าตาก ๑ แท่น เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ กรมยุทธโยธาทหารเรือ (กรมอู่ทหารเรือปัจจุบัน) ได้ทำหลักสำหรับแขวน ที่ตัวระฆัง มีอักษรจีนปรากฏอยู่ แปลเป็นไทยว่า
"หลวงจีนอิ้งเต็ง แห่งวัดไตรรัตน์ เมืองห้องเชียง ยืนยันว่ามารดา อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายพ้น
จากกรรมเวรชาติก่อน โดยกุศลผลบุญเพิ่มพูนมากขึ้น จึงไปจุติในภพใหม่ อันมีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง"
อีกด้านสลักว่า "สลักเมื่อปีชวด เดือนเหมันต์ วันมหามงคล ตรงกับปีที่ ๑๕ พระเจ้าเกียหลง"
ฐานของระฆังที่กรมยุทธโยธาทหารเรือทำขึ้น ตามพระราชประสงค์ของพลเรือเอกสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครราชสีมา ทำแบบไทย เป็นเสากลม ตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้าง ที่หัวเสาแกะปั้นเป็นรูปบัวหงาย โคนเสามีหูช้างขนาบข้างสองด้าน ที่ใบหูแกะเป็นลายไทยงดงาม บนหัวเสาทั้งสองเป็นพญานาค (แบบไทย) 
๒ ข้างเกาะไว้กับหัวเสาตัวละข้างชูเศียรสู่ฟ้าอย่างสง่างาม พาดหางมาบรรจบกันที่จุดศูนย์กลางสำหรับแขวนระฆังพอดี ตวัดปลายหางที่ไขว้กัน ชี้ชันเบื้องบนอ่อนช้อยสวยงาม
พระตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้า (เก๋งพระปิ่น)
...............เก๋งพระปิ่นเป็นพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นขณะเสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิม เมื่อทรงได้รับพระราชทานพระบรมราชาภิเษก ปรากฏพระนามตามพระสุพรรณบัฏเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปประทับที่พระบวรราชวัง 
คำว่า "เก๋งพระปิ่น" จึงเกิดขึ้นเป็นอนุสรณ์ตามพระนามของพระองค์ท่าน ต่อมากรมหลวงวงศาธิราชสนิท เสด็จมาประทับที่เก๋งพระปิ่นจนสิ้นพระชนม์
ปัจจุบันชั้นบนของเก๋งพระปิ่นใช้เป็นที่ทำการของผู้ชำนาญการกองทัพเรือ ชั้นล่างใช้เป็นห้องผลิตภาพ กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ
เขาดิน
...............เขาดินเป็นมูลดินอยู่ตรงข้ามกรมสื่อสารทหารเรือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระเจ้าจักรพรรดิพงศ์ ทรงสร้างไว้เพื่อประดับประดาสถานที่ให้สวยงาม เดิมมีต้นไม้ใหญ่หลายต้น เช่น พิกุล หูกวาง จัน มูลดินนี้คงเกิดจากการนำดินที่ขุดสระในบริเวณพระราชวังเดิม เพราะปรากฏตามหลักฐานว่าสมัยที่สมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่
หัว ประทับ ณ พระราชวังเดิมนั้น มีสระน้ำยาวไปตามกำแพงอยู่แล้ว ต่อมาสมัยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ได้ทรงขุดเพิ่มเติม จนถึงเขาดินทางมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของกำแพง บริเวณที่ตั้งกรมสื่อสารทหารเรือ สระนี้เป็นที่อาบน้ำ และพายเรือเล่นสำหรับฝ่ายใน ไขน้ำออกทางวัดท้ายตลาดได้ สระนี้ถูกถมไปเมื่อมีการสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนนายเรือ ภายหลังปี ๒๔๔๓
ป้อมวิชัยประสิทธิ์
..............ป้อมวิชัยประสิทธิ์ได้สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่ไม่ปรากฏ พ.ศ. ที่สร้าง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดเกล้าฯ ให้บาทหลวงโทมาส ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้สร้างป้อมขึ้นตามตำบลต่าง ๆ หลายป้อม โดยมากไม่ปรากฏนามและปีที่สร้าง แต่ที่ปรากฏให้สร้าง ปี พ.ศ. ๒๒๐๘ 
คือ ที่เมืองลพบุรีแห่งหนึ่ง เมืองนครศรีธรรมราชแห่งหนึ่ง ที่เมืองนครราชสีมาแห่งหนึ่ง เมืองตะนาวศรีแห่งหนึ่ง และที่ปากคลองบางกอกใหญ่เมืองธนบุรีอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า ป้อมวิชาเยนทร์ ซึ่งเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เป็นผู้กำกับการสร้าง ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชทานนามใหม่ว่า ป้อมวิชัยประสิทธิ์ นอกจากนี้
ยังมีป้อมที่บาทหลวงโทมาสสร้างทางฝั่งตะวันออกของเมืองธนบุรีอีกหลายป้อม ตรงที่ตั้งโรงเรียนราชินีปัจจุบันด้วยแห่งหนึ่ง ต่อมาสมเด็จพระเพทราชา โปรดเกล้าฯ ให้รื้อ คงไว้แต่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ป้อมเดียว อยู่ฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ปากคลองบางกอกใหญ่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นสถานศึกษาวิชาการทหารเรือ คือ โรงเรียนนายเรือป้อมวิชัยประสิทธิ์จึงอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือตั้งแต่นั้นมา 
ปัจจุบันกองทัพเรือใช้ป้อมวิชัยประสิทธิ์เป็นโบราณสถานแห่งชาติด้านหลังป้อมวิชัยประสิทธิ์ ปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูงในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มอบให้หมอบรัดเลย์เช่าเพื่อทำกิจการทางด้านการแพทย์ มิชชันนารี และตั้งโรงพิมพ์ หมอบรัดเลย์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๑๖ แหม่มซาราห์ภรรยาได้ดำเนินการต่อมาอีก ๒๐ ปี จนถึงแก่กรรม ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๘๓ กองทัพเรือต้องการจะ
ซื้อที่ดินแปลงนี้คืนจากทายาทชื่อแหม่มคัทลิน แต่ทางทายาทได้นำสัญญาเช่ามาคืน กระทรวงกลาโหม จึงมอบโล่ห์ให้เป็นเกียรติยศในฐานะผู้ช่วยเหลือทางราชการ
เอกสารอ้างอิง
................ทิพวรรณ ยุทธโยธิน และขันธ์ สกุลสีมา. "รายงานการทัศนศึกษาเมืองธนบุรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๓๕."สรุปผลการประชุมทางวิชาการเรื่องประวัติศาสตร์เมืองธนบุรี : ๔-๖ สิงหาคม ๒๕๓๕, กรุงเทพฯ : ๒๕๓๘, หน้า ๘๐-๘๖

  


จากการไปสถานที่จริงเมื่อวันที่ 3 กันยายน 53 
ไปด้วยการขับรถไปกว่าจะหาพระราชวังเดิม หมดเวลาไปหลายชั่วโมง เป็นเพราะพระราชวังเดิมนั้นอยู่ในหน่วยราชการของกองทัพเรือ ต้องใช้การสอบถามกับทหารที่อยู่ด้านหน้า จึงได้ทราบว่าพระราชวังเดิมนั้นอยู่ด้านใน พอได้เข้าไปด้านในก็พบกับสถาปัตยกรรมหลายรูปแบบ
 ก่อนที่จะถ่ายรูป ก็ได้เข้าไปที่มูลนิธิพระราชวังเดิม ได้พบกับพี่ศุภวรรณ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่จะให้ข้อมูลกับเราก็ได้ข้อมูลว่าพระราชวังเดิมนั้นเมื่อก่อนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มาก่อตั้งพระราชวัง ณ ที่นี้เนื่องด้วยจากการเป็นพื้นที่เมืองหน้าด่านทางทะเลที่สำคัญ  มีป้อมปราการเป็นชัยภูมิที่ดี  เป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะกับกำลังไพร่พล จึงได้สร้างให้มีวังที่ขนาบด้วยวัดสองด้าน วังจึงมีขนาดพื้นที่จำกัดด้วยวัดทั้งสองด้าน และเนื่องด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อยู่ในสนามรบเป็นส่วนใหญ่ จึงสร้างวังที่ไม่ใหญ่นัก และเนื่องด้วยที่กำลังไพร่พลมีน้อย ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงย้ายราชธานีไปตั้ง ณ ฝั่งพระนคร ทรงสร้างพระราชวังใหม่ และให้วังเดิมเป็นที่ประทับของพระโอรสองค์กลางของสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่  จนถึงในสมัย รัชกาลที่ 5 ก็ยกให้เป็นที่ฝึกทหารกองทัพเรือ
            ดังนั้น อาคารแต่ละหลังนั้น จะมีการสร้างทับ อาคารเก่า อาคารที่พบในปัจจุบันจึงเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นไปตามยุคตามสมัยในรัชกาลต่างๆ เช่น
ท้องพระโรง



รูปวาดลงสีน้ำ

เป็นอาคารที่ได้รับอิทธิพลมาจากลักษณะสถาปัตยกรรมของอยุธยาเนื่องจากเป็นการอพยพของช่างอยุธยาที่หนีมากับพระเจ้าตากและเนื่องจากมีช่างไม่มากจึงสร้างให้มีขนาดเล็ก

แบบจีน
จะเป็นอาคารเก๋งคู่หลังเล็กและหลังใหญ่ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

แบบยุโรป


จะเป็นอาคารเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

อาคารศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

เรือนเขียวเป็นอาคารโรงพยาบาลเดิมของโรงเรียนนายเรือ

ในการบูรณะปรับปรุง  มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่หมดแต่ยังคงแนวกำแพงหรือแนวอาคารที่เคยก่อสร้างในอดีตไว้ในรูปของแนวพื้น  แนวการปลูกต้นไม้  เป็นต้น  

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บันทึกการเดินทางกับการมองเห็นงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นผ่านการมองเห็นของผู้ปฏิบัติวิชาชีพสถาปัตยกรรม

บันทึกการเดินทางกับการมองเห็นงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นผ่านการมองเห็นของผู้ปฏิบัติวิชาชีพสถาปัตยกรรม

            โรงเรียนรุ่งอรุณ  อาศรมศิลป์ บ้านอาจารย์ทรงชัย สระบุรี  เป็นการเริ่มต้นของการเดินทางไปเก็บข้อมูลภาคสนามอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาการรวบรวมเอา นวัตกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบัน กับพื้นที่การใช้งาน   ศิลปะ ระบบโครงสร้าง  ที่เป็นแบบฉบับของคนไทยมาออกแบบและใช้งานในปัจจุบัน  ซึ่งเป็นการไปศึกษาเริ่มต้นก่อนการออกไปเก็บข้อมูลภาคสนามในวันที่ 24/7/53 ถึงวันที่ 1/8/53 
                โรงเรียนรุ่งอรุณเป็นที่แรกที่แวะเข้าไป สัมผัสถึงความร่มรื่น สอดแทรกอาคารเรียนเข้าไว้กับธรรมชาติ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมดุล โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศ กับการออกแบบอาคารและภูมิทัศน์ที่มีความเป็นอยู่อย่างไทยที่เป็นงานpubric
                และตามต่อไปเยี่ยมชมอาศรมศิลป์ ที่เป็นอาคารไม้ มุงหลังคาด้วยแฝก ที่เป็นวัสดุธรรมชาติที่มีการออกแบบได้อย่างสวยงาม มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ร่วมกับระบบโครงสร้างและรูปแบบการใช้งานแบบไทย ที่เป็นพื้นที่การใช้งานที่เคยชิน  ห้องทำงานและห้องประชุมมีการใช้โครงสร้างพาดช่วงกว้างซึ่งต้องมีการใช้วัสดุและเทคโนโลยีมาช่วย
                10/7/53
                บ้านอาจารย์ทรงชัย  จังหวัดสระบุรี


               เป็นการทัศนศึกษาต่างจังหวัดครั้งสุดท้ายก่อนจะออกทริปอย่างเป็นทางการออกจากคณะตั้งแต่ 8.00 น. ไปถึงในเวลา 10.00น. ถึงบ้านอาจารย์ทรงชัย ทางเข้าเป็นซุ้มประตูผ่านสะพานข้ามน้ำที่ขุดเป็นสระน้ำโดยรอบของบ้านเข้าไปเจอพื้นที่ที่เป็นลานดินโล่งมีต้นไม้โดยรอบแต่ยังมีแดดส่องถึงเพื่อใช้ในการตากผ้าและอย่างอื่นได้ เข้าไปด้านหลังของบ้านมีบ้านอีกชุดหนึ่งที่สร้างให้เข้ากับน้ำและสภาวะแวดล้อมโดยรอบ


มีพื้นที่นั่งได้โดยรอบโดยใช้ส่วนที่เป็นพื้นยื่นออกมาของทางเดินโดยไม่ต้องใช้เฟอร์นิเจอร์  พอถึงเวลาพักกลางวันก็ข้ามฝั่งมายังศูนย์เรียนรู้ที่อยู่อีกฝังของถนน


 เป็นหมู่อาคารที่สร้างให้เข้ากับพื้นที่ที่เป็นตลิ่งของแม่น้ำป่าสัก มีใต้ถุนโล่งที่เชื่อมสเปสให้เป็นสเปสกว้างเข้าด้วยกัน มีอาหารต้อนรับเป็นก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยมากๆและขนมโบราณ เข้าไปนั่งและใช้พื้นที่ต่างๆแล้ว รู้สึกว่ามีการจัดวางอาคารได้อย่างลงตัวตามภูมิปัญญา เชื่อมต่อได้อย่างไม่ติดขัดและใช้งานได้อย่างดี แต่ที่ชอบที่สุดคือถึงแม้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์แต่ก็ยังมีพื้นที่รองรับคน80คนให้นั่งได้โดยไม่ต้องมีคนยืนเลย

                พอออกจากบ้านอาจารย์ก็มุ่งหน้าไปสู่ตลาดเก่าเสาไห้ เป็นตลาดเก่าที่ยังมีชีวิตดั้งเดิมอยู่บ้างไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวเป็ด และเกี๊ยวทอด พร้อมกับถ่ายรูปตลาดในส่วนต่างๆ
                ทุกๆที่ที่ได้ไปก่อนการออกทริปจริงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการอุ่นเครื่องก่อนการออกทริป9วันที่จะนำเสนอต่อไปนี้



24/7/53
                ออกเดินทางจากคณะมายังอุทัยธานี  เข้าเมืองไปกินข้าวเที่ยง  กับข้าวมันไก่ที่อร่อยที่สุดในทริปต่อด้วยเป็ดพะโล้ พร้อมกับถ่ายรูปตลาดเก่าเมืองอุทัยฯ 


แล้วไปถ่ายรูปที่เรือนแพที่เป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวอุทัยธานี  ที่มีการออกแบบลดทอนรายละเอียดของสถาปัตยกรรมไทยลงจากเดิม   และการอยู่อาศัยที่พึ่งพาสายน้ำของคนในท้องถิ่น


  พอถ่ายรูปพร้อมกับฟังบรรยายอาจารย์จิ๋วเสร็จก็ เดินทางสู่จังหวัดลำปาง

25/7/53
                ตื่นแต่เช้า มารับประทานอาหารเช้า ข้าวซอยแสนอร่อยหน้าที่พัก  แล้วก็มุ่งหน้านไปยังวัดไหล่หิน
วัดไหล่หินหลวง


  เป็นวัดที่มองจากทางเข้าดูแล้ว เหมือนเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่โตมากด้วยการ  หลอกสเกล  จากการวางกลุ่มอาคารอยู่บนเนิน  แล้วพอเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆแล้ววัด จะดูเล็กลง เหมือนย่อสเกลลง มีกำแพงที่อยู่ในระดับสายตาประตูทางเข้าแทบจะต้องก้มหัวลงเพื่อเข้าไปสู่บริเวณตัวอาคาร เข้าไปดูงานศิลปะที่มีความเป็นลักษณะงานทางด้านล้านนา มีลานทราย ที่เป็นสเปสแบบไทยและเส้นนำสายตาที่ชัดเจน   พอดูวัดไหล่หินเสร็จก็ไปต่อที่พระธาตุลำปางหลวง
พระธาตุลำปางหลวง


 เป็นวัดที่มีพื้นที่รอบวัดที่ยังคง ความเป็นไทยไว้มากที่สุด มีการตั้งอาคารไว้บนเนินสูงให้วัดนั้นเหมาะสำหรับเป็นวัดหลวงอย่างแท้จริงพอเดินเข้าไปในหมู่อาคารทางด้านทางเข้ารอง การวางตัวของอาคารแต่ละหลังมีการกำหนดให้เดินอย่างชัดเจนให้ถ่ายสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเขียนป้ายติด ระบบโครงสร้างเป็นโครงสร้างของล้านนามีการกำหนดมุมมองของภายในสู่ภายนอกได้อย่างงดงาม  พอดูเสร็จก็ไปต่อที่วัดปงยางคก


  เป็นวัดของเจ้าของเจ้าทางภาคเหนือ  มีโบสถ์เก่าอยู่ หนึ่งหลัง  เป็นโบสถ์ที่ยังคงสภาพที่สวยที่สุด  มีการลดทอนของสเปซที่สวยงามกับลานหินกรวดที่ยังคงเหลืออยู่  กับต้นโพธิ์โบราณที่มีความเชื่อกับการค้ำกิ่งของต้นโพธิ์ 
           
 แล้วไปต่อที่บ้านของชาวบ้านที่สวยงามอีก 2 ที่แล้วกลับที่พัก
26/7/53
                วัดพระแก้วดอนเต้า


  เป็นวัดที่ต้องเข้าทางด้านข้างโดยมีอาคารบังคับให้มุ่งเข้าสู่พลาซ่าด้านหน้าของวิหาร  แล้วต้องขึ้นบันไดเข้าด้านข้างของโบสถ์โดยมีทางบังคับไป  ด้านหน้าเป็นโบสถ์ที่ไม่มีฝ้าปิดเพดาน  ซึ่งยังคงรักษาสภาพเดิมของการใชว์โครงสร้างที่วิจิตรพิศดาร   แล้วเราเดินทางไปที่วัดข่วงกอม
ที่เป็นการเล่นวัสดุก่อสร้างอย่างที่ไม่ต้องทาสี แล้วออกไปดูหมู่บ้านที่อยู่รอบด้าน  
ไปดูการสร้างระบบชลประทานและการวางผังตัวอาคารบ้านเรือนกับทุ่งนาและระบบนิเวศน์รอบด้าน
  บ้านมีการสร้างได้อย่างเป็นแบบราชการ   แล้วดูอาคารบ้านเรือนเสร็จก็ไปแช่น้ำแร่  น้ำพุร้อนกัน
27/7/53
                วัดปงสนุก
  เป็นวัดที่มีการบูรณะที่ได้รับรางวัลจากยูเนสโก   ว่าเป็นการบูรณะที่สมบูรณ์และเหมือนเดิมมากที่สุด  เป็นวัดที่มีลักษณะของล้านนา  มีนาคตรงบันได  มณฑปคล้ายพระธาตุลำปางหลวง 
 ต่อด้วยวัดศรีรองเมือง  เป็นวัดที่กำลังมีการปรับปรุง  วัดนี้เป็นวัดของชาวพม่าที่เข้ามาทำงานกับชาวอังกฤษแล้วมาสร้างวัดไว้  เป็นรูปแบบของพม่าที่มีหลังคาซ้อนกันหลายชั้นเพื่อแสดงถึงเป็นที่ที่เหนือกว่าบ้านของชาวบ้านทั่วๆไป  ภายในมีการประดับตกแต่งด้วยกระจกอย่างสวยงามเนื่องด้วยมีหลังคาหลายชั้น  ทำให้อาคารมีความเย็นมาก  สร้างด้วยไม้    แล้วต่อด้วยบ้านคนในช่วงบ่ายเป็นบ้านที่เมื่อก่อนเคยมุงด้วยแฝก  แล้วเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นวัสดุที่มีความทนทานขึ้น  แต่ยังเป็นระเบียบการออกแบบแบบเดิม


28/7/53
                เช้าวันที่สุโขทัย
   สุโขทัย  เป็นเมืองที่น้ำท่วมจึงเป็นเมืองที่เน้นที่ระบบชลประทานขุดคูเมืองให้มีน้ำใต้ดิน  มีท่อดินเผาต่อจากเขื่อน  น้ำไม่มีแล้ง  มาดูผังเมืองและการจัดวางผัง  แนวแกนเมือง  และงานสถาปัตยกรรมที่เป็นโครงการpubric 
                วัดมังกร 
 สันนิฐานว่าเป็นวัดป่า  มีกรอบกำแพงแก้ว  เจดีย์เป็นทรงลังกา  มีการรวมนิกาย  2 นิกายเข้าด้วยกัน  ด้วยการใส่ใบเสมา 2 ใบ เข้าไว้ด้วยกันเป็นใบเสมาคู่  ใช้เสาศิลาแลง  ล้อเลียนเสาไม้  ขุดบ่อน้ำรอบ  กำแพงเซรามิค เป็นกำแพงแก้ว  ต่อด้วยวิหารวัดมหาธาตุ  

เจดีย์ประธาน เป็นทรงพุ่มข้าวบิณ  แบบสุโขทัยโดยเฉพาะ  และรอบด้านเป็นแบบต่างๆ แสดงว่าเป็นจุดศูนย์กลางในการรวมลักษณะเฉพาะในแต่ละท้องที่เข้าด้วยกัน 2 ด้านประกอบด้วยพระยืน
  เมื่อก่อนประเทศไทยมีหลายแคว้นจนอยุธยา แกร่งขึ้น  จึงไล่ต้อนผู้คนเข้าเมืองอยุธยาเลยปล่อยให้สุโขทัยเป็นเมืองล้าง
                วิธีการนำไปใช้คือ  การนำเอาการเรียงอีฐ  การย่อมุม  ตำแหน่งที่ตั้ง  เส้นนำสายตา  และการเบรคแล้วหันไปทิศใดทิศหนึ่ง
                การเก็บข้อมูลคือการถ่ายองค์รวมแล้วถ่ายมุมคัดสัน
ให้อาคารสัมพันธ์กับเส้นนอนของพื้นโลก
ช่วงบ่ายเป็นวัดพระพายหลวง
  เป็นวัดที่มีศิลปะแบบขอม  ใช้ศิลาแลงในการสร้าง  ปรับใช้ให้เป็นสวนสาธารณะได้  ระเบียบของการเรียงศิลาแลง 

วัดศรีชม 
 เป็นวัดที่มีการสร้างพื้นที่ว่างให้ดูแคบ แล้วภาพที่มองเห็นด้านหน้าในระยะกระชั้นชิดนั้นเกิดภาพที่ใหญ่โตและดูศักดิ์สิทธิ์   มีต้นมะม่วงด้านนอกที่ใหญ่มากอายุราวๆร้อยปี
วัดศรีสวาย
  เป็นวัดที่นำเอาระนาบมาใช้ในทางโมเดิร์นได้มีการเล่นช่องเปิด  ที่สวยงาม  ชนิดของวัสดุที่มีความแตกต่างกัน
29/7/53
เช้าวันนี้เดินทางไปอุตรดิตถ์  กับบ้านชาวพื้นเมืองแท้ๆ
  แล้วมาพักเที่ยงที่วัดดอนสักเข้าไปถวายหลอดไฟ พร้อมกับชมศาลาที่มีโครงสร้างวายสแปนแล้วออกมาดูโบสถ์ที่มีความสวยงาม  ที่มีโครงสร้างแบบอยุธยา  การประดับตกแต่งแบบสุโขทัย  แล้วออกจากวัดมาดูหมู่บ้าน
  ที่มีลักษณะแบบลับแลที่มีการสร้างเส้นนอนประกอบกับเส้นตั้ง ของต้นหมาก 
 ต่อด้วยวัดทองลับแล  
 มาดูหอไตรที่อยู่กลางน้ำ  มีการยื่นพื้นออกจากเสาแต่ไม่ยื่นคาน 


 แล้วมาดูการเล่น ฟาสาทของบ้านที่มีการเล่น ฟาสาทของแต่ละฟังก์ชั่น


30/7/53
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร 
 เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับสุโขทัย  มาดูพระปราง  กำแพงนำเอาศิลาแลงมาทั้งท่อน  

หลังคาเป็นทรงลานนา  ช่องเปิดเป็นช่องตั้ง  วางกำหนดขอบเขตการวางเส้นแกนเป็นสมมาตรมาก  ต่อด้วยวัดโคกสิงคาราม  มาดูการสร้างผนังที่นำมาจากผนังบ้านเป็นระเบียงเดียวกัน
วัดกุฏีราย

เป็นวัดรูปแบบแบบกำแพงเพชร มีสัดส่วนการมุงกระเบื้องและทรวดทรงอาคารแบบสุโขทัยนำการเรียงไม้มาเรียงอิฐ   

 ต่อด้วยอาคารอนุรักษ์กลุ่มเตาสังคโลก 
 เป็นการนำสเปซ ใต้ถุนบ้านของบ้านไทยนำภาพด้านนอกมาใช้ด้านในอาคาร  กับการดึงภาพบริบทโดยรอบของที่ตั้งเข้ามาใช้ในอาคารเปรียบเสมือนกรอบรูป
บ้านชาวบ้านที่อยู่รอบๆมีการใช้งานของพื้นที่ได้สวยมาก

วัดเก้ายอด
  สร้างอยู่บนเนินเขา   ดูการแก้ปัญหาการสร้างอาคารบนเนิน การเล่นสเต็ปและทอดถึงกัน 
 ต่อมาดูการจัดวางผังเมืองศรีสัจชนาลัย
  ดูการเลือกชัยภูมิ  ปิดล้อมด้วยน้ำและแนวภูเขาที่เป็นวัดเขาใหญ่เอาไว้ดูข้าศึก

31/7/53
บ้านอาจารย์ตี๋ 
 มาดูบ้านที่เป็นตลาดที่เป็นหลังคาฮิป 
 ดูด้านหน้าเหมือนบ้านจะสั้น  พอเข้ามาในบ้าน  บ้านลึกแล้วมีการแบ่งพื้นที่โดยการกั้นเฟอร์นิเจอร์แบบเป็นสัดส่วน  พอมาดูด้านหลังเป็นการจัดสวนที่สวยงาม  
มีการตัดแต่งอย่างเนี้ยบ เป็นสัดส่วนสวยงาม
ช่วงบ่ายมาที่สนามบินสุโขทัย
มาดูการออกแบบที่มีการประยุกต์ใช้ความเข้าใจทางสถาปัตยกรรมและระบบระเบียบโครงสร้างแบบสุโขทัยแต่วัสดุสมัยใหม่  เทคโนโลยีสมัยใหม่  ดังนั้นเราต้องศึกษาวัสดุโครงสร้าง  ทางสัญจร ในรูปแบบสมัยใหม่  แต่ยังคงรูปแบบความเป็นไทย
โรงแรมสนามบินสุโขทัย
แล้วออกมาเก็บข้อมูลซ้ำกับบ้านชาวบ้านอีกรอบ

1/8/53
วัดพระศรีมหาธาตุ

 วัดพระพุทธชินราช  


มาสรุปการเก็บข้อมูลตั้งแต่ที่เริ่มเก็บมา  มาสรุปเป็นวัดที่ยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน  ว่าสรุปแล้วการวางผังที่ยังมีชีวิตอยู่ กับการใช้งานที่มีอยู่
นั้นเป็นเช่นไร


              สรุปทริป9วันนั้นเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาการอยู่อาศัย การใช้งานของสิ่งก่อสร้างต่างๆ  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นล้วนแล้วแต่มีการคำนึงถึงการใช้งานของคน  วิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้นๆเป็นเช่นไร  รูปแบบศิลปะของท้องถิ่นนั้นๆเป็นเช่นไร  และนำสิ่งเหล่านั้นที่มีมากมาย  นำมาสรุป และออกแบบให้เข้ากับสิ่งต่างๆที่เป็นตัวตนของท้องถิ่นนั้นๆแม้จะทำสื่อออกมาโดยตรงไม่ได้  ก็ต้องพยายามสอดแทรกเข้าไปในงานออกแบบให้ได้  ให้คนตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงในระดับประเทศได้เห็นคุณค่าของตัวตนที่แท้จริงให้ได้